3/15/2556
3/07/2556
Writing for the Reader: A Problem-Solution Approach
Writing for the Reader: A Problem-Solution Approach
By..Susan
Stempleski and Barry Tomalin
. ( May 2001)
Vol. 163 pages ISBN
บทสรุปเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ที่ยินดีให้ข้อมูล
Berkenkotter และ Huckin (1995) แนะนำว่าบทสรุปจะเห็นได้ว่ามีภาพสะท้อนในกระจกของการแนะนำ
ข้อสรุปจะเริ่มต้นด้วยการศึกษาอย่างเฉพาะเจาะจงหรือเทคนิคการอธิบายไว้ในบทความและย้ายไปทั่วไป
ถ้าเราพิจารณาบทสรุปที่จะเรียงลำดับจากสิ่งที่ตรงกันข้ามของการแนะนำบางอย่างเราอาจคาดหวังบทสรุปในการประเมินเทคนิคบวกและจากนั้นย้ายไปยังสถานการณ์ทั่วไปมากขึ้น
เราสามารถกลับไปที่บทความวิลเลียมโฮลเดนอีกครั้งเพื่อดูว่าเขาได้รับการรักษาปัญหานี้ในข้อสรุปของเขา:
1) ในขณะที่กิจกรรมเหล่านี้จะไม่ใหม่หรือทางออกสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาของการซื้อและการเก็บรักษาคำศัพท์พวกเขาเป็นที่น่าสนใจและง่ายต่อการใช้งานและส่งเสริมให้นักเรียนที่จะใช้งานมากขึ้นวิธีการส่วนตัวในการพัฒนาคำศัพท์
2) พวกเขามีข้อดีเพิ่มความรู้ด้วยตนเองและการควบคุมและส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน
1 ประโยคอย่างชัดเจนว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ได้รับ described
และประเมินเทคนิคบวก (ที่น่าสนใจและง่ายต่อการใช้งานและให้กำลังใจ )
Transcending Paradigm Nativeness
Transcending Paradigm Nativeness
By….Janina
Brutt-Griffler and Keiko K. Samimy
World Englishes Vol. 20,No.1 (March.2001)
Brutt-Griffler และ Samimy ยืนยันว่าการจัดหมวดหมู่ไบนารีของวิทยากรเป็นทั้งในเมืองหรือชนบทเป็นไปตามหมวดหมู่ไม่ได้ภาษาศาสตร์
แต่เอกลักษณ์สร้างสังคม พวกเขาจะใช้สี่กรณีเพื่อศึกษา และผู้เข้าร่วมมาจาก EFL
บริบท (เกาหลีและอาร์เจนตินา) และสองคือจากบริบท ESL (ฟิลิปปินส์และซิมบับเว) ผู้เข้าร่วมล้วนเกิดนอกประเทศ แต่เข้ามาอยู่ในสหรัฐฯก่อนวัย
พวกเขาจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในการสื่อสารของพวกเขา แต่ในแง่ของการเป็นวิทยกรของอังกฤษ,
พวกเขาทั้งสี่มองว่าตัวเองแตกต่างกันและมีการรับรู้ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ
ผู้เขียนยืนยันว่ามีความแตกต่างระหว่างในเมืองและในชนบทเกิดขึ้นจากปัจจัยทางสังคมเช่นชาติกำเนิดของวิทยากร
ผู้เขียนสรุปว่าความแตกต่างนี้จะไม่สอดคล้องกันไม่ชัดเจนและไม่เหมาะสม
Teaching Listening Skills to Young Learners through “Listen and Do” Songs
Teaching Listening Skills to Young Learners through “Listen and Do”
Songs
By.. BY
JERROLD FRANK
การฟังคือการใช้อ่อนไหวของภาษาและเนื่องจากมีเป้าหมายที่จะทำให้ความรู้สึกในการพูด
โฟกัสอยู่ในความหมายมากกว่าภาษา (คาเมรอน 2001).
Sarıçoban (1999) กล่าวว่าการฟังคือความสามารถในการระบุและเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นจะพูด
สำหรับผู้เรียน, การฟังเป็นวิธีการที่จะกลายเป็นภาษาพูดของท่าน
(คือมันเป็นขั้นตอนแรกของการเรียนรู้ภาษาใหม่) ในห้องเรียนนี้เกิดขึ้นโดยการฟังครู
ฟังซีดี หรือผู้เรียนอื่น ๆ มันเป็นกระบวนการของการตีความข้อความในสิ่งที่คนอื่นพูด
วิธีการสอนเพลง
คำของความระมัดระวังเป็นสิ่งที่จำเป็น เป็นครูผู้สอนภาษา
เราควรจำไว้ว่าเป็นความรับผิดชอบหลักของเราคือการสอนภาษาเป้าหมาย
ไม่ว่าจะสนุกและเพลิดเพลินกับกิจกรรมเพลงอาจจะเป็นเพราะ YLs
เราควรจะดำเนินการไปตามเสียงเพลงและจังหวะของเพลง
ความรับผิดชอบหลักของเราคือไม่สอนทักษะการร้องเพลง แต่จะสอนภาษาเป้าหมาย ดังนั้น
ถ้าเพลงถูกนำมาใช้ไม่ได้ผล
ก็สามารถกลายเป็นแค่ความบันเทิงและการขัดจังหวะความพึงพอใจในการเรียนในวันที่มี
ในระยะยาวส่งผลให้เกิดความเบื่อหน่ายและขาดความสนใจ ควรจะมีเหตุผลที่ชัดเจนในใจครูสอนภาษาที่ว่าทำไมและวิธีการใช้เพลง
เพลงที่มีประสิทธิภาพของการพัฒนาทักษะภาษาของเด็กเฉพาะเมื่อพวกเขาจะรวมกันเป็นรูปแบบของการทำงานและคัดเลือกอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความต้องการองค์ความรู้และการใช้ภาษาของนักเรียน.
Ersöz (2007, 20) แสดงให้เห็นว่าครูควรจะระมัดระวังในการเลือกเพลงดังต่อไปนี้มีเนื้อเพลงที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ง่าย
- เชื่อมโยงกับหัวข้อหรือคำศัพท์ที่ผู้เรียนเรียนในห้องเรียน ประกอบด้วยบรรทัดซ้ำอนุญาตให้เด็กได้กระทำอย่างง่ายดาย
(เพื่อช่วยเน้นความหมาย)
แผนการสอนสำหรับฟังและทำเพลง
ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นการสอนเพลงใด ๆ
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องเล่นซีดีในห้องเรียนพร้อมสำหรับการใช้งานและการที่นักเรียนทุกคนสามารถได้ยินเท่าเทียมกันดี
หากคุณจะใช้เอกสารประกอบคำบรรยายให้แก่นักเรียน
แต่บอกพวกเขาว่าจะไม่อ่านเนื้อเพลงจนกระทั่งหลังจากการฟังครั้งแรก
ถ้าคุณกำลังใช้ตำราเรียน ควรบอกนักเรียนหมายเลขหน้าให้นักเรียนรู้
หากคุณไม่ได้มีตำราหรือสามารถใช้เครื่องถ่ายเอกสาร
คุณอาจเขียนเนื้อเพลงบนกระดานหรือบนโปสเตอร์ก่อนที่จะเริ่มการพัฒนาทักษะการฟังเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของหลักสูตร
ESL/EFL สำหรับ YLs. เพลงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เพื่อการนี้ เพลงมีสถานที่แน่นอนให้ห้องเรียน YL ของพวกเขาให้มีความหมายและฝึกภาษาสนุก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งเสริมทักษะการฟัง หวังว่าเป็นเพลงที่มีประสบการณ์ YLs.
ความสำคัญของการเพิ่มเพลงเมื่อพวกเขาถูกนำมาใช้ในการทำงานร่วมกับ TPR
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของเกมที่ชอบ มันเป็นความหวังของผมว่า
ตัวอย่างของแผนการสอนในบทความนี้จะนำไปสู่ความสนใจเพลงของครูภาษาอังกฤษ เป็นภาษา YLs และเสริมสร้างการปฏิบัติของการใช้เพลงในบริบท ESL/EFL มันเป็นสิ่งสำคัญที่ครู ESL/EFL เข้าใจเหตุผลของการใช้เพลงในห้องเรียน YL
และเข้าใจขั้นตอนของการเรียนการสอน
แล้วพวกเขาจะค้นพบเหตุผลของตัวเองและวิธีการใช้เพลงอย่างมีประสิทธิภาพและมีความหมายนบริบทของการเรียนการสอนของตน
Enriching Reality: Language Corpora in Language Pedagogy
Enriching
Reality: Language Corpora in Language Pedagogy
By.. Laura
Gavioli and Guy Aston ,Vol. 55, No. 3 (July 2001)
ภาษา Corpora คือ คอลเลกชันที่สร้างจากคอมพิวเตอร์เกิดขึ้นตามธรรมชาติพูดและเขียนภาษา
(เรียกว่า Concordances คอมพิวเตอร์) เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับครูผู้สอนภาษาอังกฤษ,
นักเขียน, วัสดุและการออกแบบหลักสูตร Gavioli
และGuy Aston ยืนยันว่าการใช้งานของ Corpora
เหล่านี้โดยผู้เรียน L2 ได้ถูกมองข้าม
หนึ่งในข้อเสนอแนะของพวกเขาคือผู้เรียนใช้ข้อมูลเพื่อ Corpora วิกฤตวิเคราะห์รูปแบบของภาษาที่ได้เรียนแล้วเป็นภาษาเขียนและภาษาพูดของตนเอง
พวกเขายังแนะนำให้เป็นกิจกรรมสำหรับกลุ่มเล็กว่าผู้เรียนสามารถตีความข้อมูลและตั้งสมมติฐานของ
Corpora ความหมายที่เป็นไปได้ของคำหรือวลี
ซึ่งอาจรวมถึงการเปรียบเทียบระหว่างสองภาษาข้อเสนอแนะที่สามคือผู้เรียนใช้รายการของการอ้างอิงในการตรวจสอบความหมายและรูปแบบ
เหล่านี้ประเภทของกิจกรรมให้ผู้เรียนที่จะใช้ Corpora และสำรวจตำราที่จะได้รับข้อมูลเชิงลึกในศัพท์ไวยากรณ์และปัญหาวาท
ผู้เขียนชี้ให้เห็นอย่างไรที่มีสามสิ่งที่จำเป็นก่อนภาษา corpora สามารถใช้อย่างมีประสิทธิภาพ:
เรียนยังคงต้องมีการเข้าถึงพวกเขาซอฟต์แวร์ที่ใช้งานง่ายในการใช้ประโยชน์พวกเขาจะต้องได้รับการพัฒนาและการวิจัยมากขึ้นจะต้องทำในการกำหนดวิธี
Corpus-กิจกรรมตามสามารถรวมอยู่ในการเรียนการสอนในชั้นเรียนปกติ
1/03/2556
Innovative Educational Technology in the Global Classroom
เมื่อยุคโลกาภิวัฒน์และนวัตกรรมทางการศึกษากำลังเข้ามามีบทบาท ครูเลยจะต้องรู้จักสร้างประดิษฐ์คิดค้นและต้องตามให้ทันกับนวัตกรรมที่ เปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว ครูจึงต้องกระตุ้นใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการสอน ซึ่งประกอบด้วย online discussion (อภิปรายออนไลน์)podcasting (โปรแกรมเสียง) blogging (บล็อก)
✿ การบูรณาการเทคโนโลยีในการสอน
เป็นการบูรณาการเนื้อหาที่จะสอนเช่น case study (กรณีศึกษา) portfolios(แฟ้มสะสมผลงาน)นำมาบูรณาการใช้กับเทคโนโลยี ซึ่ง มันก็ช่วยให้ครูได้เห็นความคิดใหม่ๆ
และสามารถขยายความรู้ในห้องเรียนใหม่ที่มีความแตกต่างที่จัดเวลาใดก็ได้และ
เนื้อหาก็ไม่จำกัดและได้หลักสูตรที่ดีขึ้น สิ่งที่ครูควรคำนึงเวลาที่นำเทคโนโลยีมาใช้กับการสอนคือ
ต้องคำนึงสิ่งที่ครูต้องการวัดนักเรียนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ทั้ง
เทคโนโลยีและเนื้อหา ให้ความสำคัญกับจุดประสงค์ กระบวนการ รวมถึงการประเมินผล
✿ Case Study (กรณีศึกษา)
เป็นกระบวนการที่ครูและนักเรียนใช้การสนทนากันในสถานการณ์จริง
ขั้นตอนในการทำกรณีศึกษา
1. เตรียมกรณีศึกษาโดยเลือกผู้เรียนภาษาและทบทวนดูหลายๆกรณี
2. เก็บรวบรวมข้อมูล
3. วิเคราะห์ข้อมูล
4. สร้างสถานการณ์โดยมมีผลสะท้อนข้อคิดออกมาและอภิปรายตั้งคำถามเพื่อเป็นประสบการณ์
✿ Blogging(บล็อก)
งานเขียนที่เกี่ยวกับหรือที่ได้มาจาก case study (กรณีศึกษา) ให้นำมาใส่ในบล็อกทั้งหมด
ซึ่งในบล็อกนั้นก็สามารถใส่ ข้อความ กราฟ ไฟล์ pdfรูปภาพและสามารถเชื่อมต่อไปสู่บล็อกอื่นๆอีกด้วย
✿ Podcasting (โปรแกรมเสียง)
เมื่อนำข้อมูลกรณีศึกษาลงไปในบล็อกแล้วนั้น
นักเรียนจะได้เรียนเกี่ยวกับโปรแกรมเสียงซึ่งอาจเล่นผ่านคอมพิวเตอร์ผ่าน mp3 ซึ่งโปรแกรมนี้เข้ามาฟังกี่ครั้งก็ได้ทำให้การเรียนรู้เข้มข้นขึ้นสิ่งที่ได้พบในPodcasting ก็จะเป็นคำศัพท์ใหม่ๆ
✿ Creating a wiki
เอา Podcasting มาไว้ใน wiki นี้แหละ
ครูอาจจะแนะนำวิธีการสอนกิจกรรมที่มีในห้องของนักเรียนให้เข้าไปดูที่ website
✿ Online Discussions
ขั้นตอนนี้จะให้นักเรียนฟังแล้วก็แบ่งปันข้อมูลต่างๆ
ให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งในการเสนอแนะไม่มีการชมแต่บอกให้ปรับปรุงมากกว่า
ซึ่งมันก็จะกลายเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของสาธารณชน
✿ ข้อเสนอแนะ
เน้นในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในห้องเรียน
คือ ต้องมีการเคลื่อนไหว มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อทุกๆคน
Applying Innovative Spirit to Multimedia Foreign Language Teaching
การประยุกต์จิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมลงในสื่อการสอนภาษาต่างประเทศ
1) บทนำ
ในปัจจุบัน
ผู้คนต่างตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดังนั้น
การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
และการฝึกฝนด้วยตัวผู้เรียนเองกลายเป็นหัวข้อที่คนกำลังให้ความสนใจ
ด้วยพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สื่อเทคโนโลยีถูกใช้งานในการสอนมากขึ้น รวมถึงในการสอนภาษาอังกฤษเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับวิทยาลัย
ซึ่งเป็นที่คาดหวังการใช้สื่อและระบบเครือข่ายในการสอนรูปแบบใหม่ ขณะเดียวกัน
ผู้เรียนก็ได้รับการแนะนำให้เรียนภาษาอังกฤษโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยมากขึ้น
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าการผสมผสานระหว่างสื่อเทคโนโลยี
กับการสอนภาษาอังกฤษถูกปลูกฝังลงในวิธีการสอน
แต่นี้จะช่วยให้การเรียนภาษาประสบความสำเร็จจริงหรือ
คำตอบคือไม่ ในทางปฏิบัติ
สื่อเทคโนโลยีเหล่านี้ยังคงมีข้อบกพร่อง อีกทั้งความเข้าใจผิดของครูผู้สอน
หรือแม้แต่เนื้อหาที่มีอยู่ในวงที่จำกัด ท้ายที่สุด ผลออกมาเป็นว่าเกิดความไม่สมดุลในบางสถานศึกษา
ที่ลงทุนมาก แต่ผลตอบแทนกลับไม่คุ้มค่าอย่างที่คิด
การที่การใช้สื่อในการสอนภาษานั้นจะประสบผลสำเร็จหรือไม่
จะต้องขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมในตัวครูผู้สอน, การมีแนวคิดของนวัตกรรมการสอนของตนเอง, การใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย
และความคิดสร้างสรรค์ที่ปฏิบัติได้จริง
2) สื่อการสอน และแนวคิดนวัตกรรมทางการศึกษา
ธรรมเนียมการสอนภาษาอังกฤษแบบเก่าๆ
นั้น จะพึ่งพาการผสมผสานระหว่างครูผู้สอน นักเรียน ชอล์ค กระดานดำ
และเทปบันทึกเสียง ในขณะที่การสารโดยใช้สื่อ จะรวมเอา ครู นักเรียน คอมพิวเตอร์
และบทเรียนเข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีทฤษฎีสร้างความรู้ใหม่ด้วยตนเอง ตามทฤษฎีนี้ ผู้เรียนจะไม่เป็นแค่ผู้รับความรู้อยู่เฉยๆ
แต่จะเป็นผู้สร้างที่กระตือรือร้นด้วย
ดังนั้นผู้เรียนก็จะสามารถนำความรู้ที่ได้รับนอกห้องเรียน มาสร้างเป็นความรู้ใหม่ๆ
ได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้เรียนจะประสบความสำเร็จในการเรียน
ทฤษฎีนี้ถือเป็นทฤษฎีพื้นฐานของการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้สื่อ
ขณะที่กำลังสอนโดยใช้สื่อ ตัวครูเองก็ต้องสร้างสรรค์
หรือริเริ่มแนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรมการศึกษา เป็นของตนเองอยู่ตลอดเวลา
เพราะการสอนโดยใช้สื่อเทคโนโลยี
จะไม่สามารถแสดงศักยภาพได้ด้วยการใช้มันเป็นแค่กระดาษ และตัวชี้เท่านั้น
ดังนั้น ครูควรนำบทเรียนมาใช้ดำเนินการแก้ปัญหาการศึกษา
ขณะเดียวกันก็หลบเลี่ยงวิธีการสอนแบบยัดเยียดซึ่งปกตินิยมใช้กัน
เปลี่ยนเป็นการจัดการชั้นเรียนอย่างเหมาะสม
เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารของผู้สอนกับผู้เรียน จากแบบหุ่นยนต์ สั่ง ทำตาม สั่ง
ทำตาม เป็นแบบครูกับนักเรียน และนักเรียนกับนักเรียน
เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมของตัวผู้เรียนในกระบวนการเรียนการสอนอีกด้วย
3) การใช้สื่อการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ
และการค้นพบรูปแบบการสอนภาษาใหม่ๆ
ประโยชน์อย่างหนึ่งของการใช้สื่อในการสอนภาษาคือ
เป็นการช่วยเพิ่มรูปแบบ วิธีการ และคำนิยามของการสอนภาษาให้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้
การเพิ่มประสิทธิภาพของทรัพยากรในการสอนไปสู่ขั้นสูง
จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จของการเรียนภาษา
3.1 ผลกระทบเชิงบวกของสื่อต่อการสอนภาษาต่างประเทศ
1)
สื่อการสอนจะช่วยเพิ่มคุณค่าของข้อมูลในการสอน
และช่วยประหยัดเวลาจากการเขียนกระดานดำ
และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของชั้นเรียนอีกด้วย
เวลาที่เพิ่มมาก็สามารถนำไปใช้ทบทวนบทเรียนได้
2) ด้วยการบูรณาการแสง สี เสียง
และรูปภาพ เข้าด้วยกัน ไว้ในสื่อ จะช่วยยกระดับการสอน และรูปแบบการเรียนรู้
ทั้งที่ตัวผู้สอนเอง และตัวผู้เรียน สภาพแวดล้อมที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน
จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับผลตอบกลับในทันที เพื่อให้ทราบถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้
3) ครูผู้สอนสามารถแสดงเนื้อหาบทเรียนได้ด้วยข้อมูลที่หลากหลาย
เช่น ครูสามารถบันทึกรายการโทรทัศน์ลงในแผ่นดิส
และให้นักเรียนชมเพื่อให้ทันความเป็นไปของโลก
4) ข้อมูลมัลติมีเดียแบบหลายมิติ
จะช่วยปลูกฝังการคิดแบบเชื่อมโยงให้แก่นักเรียน ความคิดของมนุษย์นั้นจะสะท้อน
และเชื่อมโยงกัน ทั้งเสียง ภาพ ความรู้สึก และตัวเลข
จะช่วยสร้างประสิทธิภาพของความคิดและความทรงจำของมนุษย์
ครูสามารถใช้สื่อสร้างความยืดหยุ่นของข้อมูล และเลือกใช้วิธีการสอน
5)
การสอนโดยใช้สื่อจะให้แพลตฟอร์มสำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่างครู กับนักเรียน
และนักเรียนกับนักเรียน ครูสามารถตอบปัญหาของนักเรียนในห้อง
หรือเลือกที่จะตอบข้อซักถามต่อผ่านทางระบบออนไลน์
แม้กระทั้งตรวจข้อสอบของนักเรียนด้วย ช่องทางนี้ยังเปิดโอกาสให้นักเรียนติดต่อสื่อสารกันเองได้อย่างสะดวกสบายด้วย
3.2 ปัญหาและทางออกที่เกี่ยวข้องกับการสอนโดยใช้สื่อ
นอกจากผลกระทบเชิงบวกของการใช้สื่อในการสอนแล้ว
ข้อผิดพลาด และความเข้าใจผิดอาจเกิดขึ้นในการสอนได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะปรากฎในรูปแบบดังต่อไปนี้
1)
การครอบงำในการถ่ายทอดความรู้ด้วยข้อมูลสมัยใหม่ บทเรียนแบบง่ายๆ ที่ครูใช้สอน
แต่ขาดการใช้นวัตกรรม แบบเรียนนี้อาจง่ายต่อครูในการสอน
แต่จะเป็นการละเลยต่อสถานะของผู้เรียน ด้วยเหตุนี้
การใช้สื่อจึงไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างที่ควร
2) ผลกระทบจากการใช้สื่อมากเกินไป
เหมือนต้นไม้ที่ออกดอกมาก แต่ไม่มีผล เมื่อขาดการวิเคราะห์เนื้อหาของบทเรียน
และออกแบบการสอนที่เหมาะสม ทำให้ผลการสอนไม่ออกมาอย่างที่คิด
วิธีการที่จะนำเสนอต่อไปนี้สามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาที่กล่าวมาได้
ขั้นแรก รวมวิชากับสื่อเข้าด้วยกันด้วยวิธีที่ถูกต้อง การสอนภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการฟัง การพูด
การอ่านแบบละเอียด และอ่านแบบกว้างๆ หลักสูตรที่ต่างกัน
ก็ต้องการวิธีการสอนและสื่อเทคโนโลยีที่ต่างกัน
ครูผู้สอนควรจะสามารถวิเคราะห์ลักษณะความแตกต่างของแต่ละวิชา และเลือกใช้สื่อเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ วิชาที่เกี่ยวกับการฟังและพูดควรจะเน้นที่การสร้างโอกาส
และบรรยากาศในการสื่อสารกันในภาษาอังกฤษให้แก่ผู้เรียน
ครูสามารถรวมหัวข้อการสื่อสาร และโครงสร้างของประโยคลงในสื่อที่สดใส และใช้งานง่าย
เช่น ภาพ เพลง หรือภาพยนต์ ในขณะเดียวกันก็จัดให้ผู้เรียนสร้างบทพูด
(Dialogues) บทละคร และการพูดคุยด้วยสื่อ
เพื่อเสริมสร้างความน่าสนใจ และความกระตือรือร้นของผู้เรียน